ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมดีกว่าระบบแหนบสปริงอย่างไร
ตามทฤษฎีแล้วความสะดวกสบายในความรู้สึกของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ขึ้นอยู่กับค่าความถี่ของการสั่นสะเทือนค่าความถี่ระหว่าง 1 ถึง 1.5 Hz ทำให้คนส่วนมากรู้สึกสบายดี หากค่าความถี่ของการสั่นสะเทือนสูงขึ้น เช่น 4 Hz เปรียบเสมือนรถบรรทุก ตอนไม่มีน้ำหนักบรรทุก จะรู้สึกสะเทือนมาก
ซึ่งระบบกันสะเทือนแบบแหนบสปริง จะขึ้นอยู่กับค่าคงที่ของแหนบสปริง (ค่าคงที่ของแหนบสปริงก็คือ สัดส่วนของแรงที่ทำให้สปริงยุบตัวไปเป็นระยะทางหนึ่ง)
ดังนั้นแหนบที่มีค่าคงที่ของสปริงสูงจะรับน้ำหนักได้มาก แต่ขณะไม่มีน้ำหนักบรรทุกตัวรถจะสะเทือนมากเพราะสปริงแข็งเมื่อมีน้ำหนักมากดลงบนสปริงไม่เพียงพอ แต่ถ้าต้องการทำให้ค่าความถี่ของการสั่นสะเทือนน้อยลงในขณะไม่มีน้ำหนักบรรทุก ก็จะส่งผลให้การบรรทุกน้ำหนักได้น้อยลงด้วย เนื่องจากสปริงอ่อนเกินไป สิ่งที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือจะต้องใช้สปริงที่มีค่าคงที่ของสปริงแปรผันได้ตามน้ำหนักบรรทุกของรถ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในระบบกันสะเทือนแบบแหนบสปริง
ดังนั้นระบบกันสะเทือนที่สามารถทำให้ค่าคงที่ของสปริงแปรผันได้ตามน้ำหนักบรรทุก คือระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Spring) เท่านั้น กล่าวคือระบบกันสะเทือนแบบถุงลม เป็นระบบกันสะเทือนที่ทำให้ผู้ขับขี่มีคามรู้สึกสะดวกสบายตัวรถไม่โคลงมาก เสียงเงียบไม่ดังเหมือนรถที่ใช้แหนบสปริง มีความสะเทือนน้อยกว่าระบบแหนบสปริงจึงทำให้ทั้งตัวรถ ,สินค้า , ผู้โดยสาร และถนนเสียหายน้อย ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา และในกลุ่มประชาคมยุโรป จนกระทั่งมีบางประเทศกำหนดให้รถบรรทุกใช้ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมเป็นระบบกันสะเทือนมาตรฐานในการประกอบการขนส่งทั่วไป